Go Go Squid นายเย็นชากับยัยปลาหมึก - ซีรี่ส์ที่รวมความรัก ความฝัน มาสู่เกม [2019] - KJ's E V E R Y T H I N G

KJ's   E V E R Y T H I N G

A place where I collect the pieces of my memory.

Latest

Home Top Ad

Sunday, April 12, 2020

Go Go Squid นายเย็นชากับยัยปลาหมึก - ซีรี่ส์ที่รวมความรัก ความฝัน มาสู่เกม [2019]

เป็นอีกหนึ่งซีรี่ส์ที่โด่งดังมากเมื่อปี 2019 ซึ่งเรามองข้ามมาโดยตลอด ดังขนาดติดเทรนด์ Weibo พระเอกโนเนมก็คือชื่อเสียงพุ่งกระฉุดจนมีซาแซงแฟน ติดเทรนด์ตลอดเวลา Netflix WeTV เอามาลงซับไทยก็ไม่ดู กดผ่านตลอด แวบๆ ดูไม่เกิน 1 ตอน ก็กดปิด ไม่อินเลย จนกระทั่งแม่ของเรามาเริ่มดู และบอกว่าสนุกดีนะ ก็เลยเอาวะ... ขอดูเรื่องดังหน่อย จะสนุกจริงไหม

และเมื่อผ่านไป EP 5 เท่านั้นแหละ โอ้โห... เป็นที่มาของการรีวิว ครั้งนี้เลยจ้ะ

Go Go Squid มาจากนิยายชื่อ Stewed Squid with Honey ชื่อเรื่องก็คือหวานเกิน จนฟีลว่าเอ๊ะ มันจะสนุกไหมน้า ชื่อดูวัยรุ่นไปหน่อยสำหรับเรา ซึ่งเรื่องของชื่อเรื่องเนี่ย ก็เป็นปัญหาสำหรับเราบ่อยมาก กับการเห็นชื่อ Put Your Head on My Shoulder หรือ Wei Wei's Beutiful Smile หรือแม้แต่ชื่อไทย ฟีลแบบ ฉันไม่ชอบทั้งโลก ชอบแค่เธอคนเดียว มันก็มีความยี้ๆ นิดนึงนะ จนลังเลว่าสนุกไหม

ถ้าเทียบกับเกาหลี มันมีความแบบชื่อเรื่องที่ดึงดูดต่างกันอ่ะ อย่างเกาหลีแบบ Secret / Descentdant of the Sun / The Heirs ไรงี้ คือฟีลหนังมันมามากกว่าจีนเยอะ มันเลยมีความเอ๊ะ เห็นชื่อก็น่าสนใจแล้ว ด้านญี่ปุ่นเนี่ย ก็ชอบใช้ชื่อยาวๆ แต่ก็อธิบายตัวเรื่องค่อนข้างชัด เลยมีฝั่นจีนเนี่ย ที่เราติดเรื่องชื่อเรื่องบ่อยมาก จนไม่กล้าดู

กลับมาที่เรื่องราวของยัยปลาหมึกดีกว่า เป็นเรื่องของนางเอก ถงเหนียน (หยางจื่อ) เฝ้าร้านอินเตอร์เนตคาเฟ่ บังเอิญเจอพระเอก หานชางเหยียน (หลี่เซี่ยน) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งสโมสร K&K (ในเรื่องแปลไทยว่าคลับบ้าง ชมรมบ้าง) ว่าด้วยการฝึกฝนทีมและไปลงแข่ง CTF จะเทียบว่าคล้ายๆ E-Sport หน่อยๆ ก็ได้ จะได้เข้าใจง่าย นางเอกเป็นอัจฉริยะมาก เข้ามหาวิทยาลัยได้ตั้งแต่อายุ 15 ตอนนี้ก็คือเรียนป.โทด้านคอมพิวเตอร์อยู่ พอนางเอกมาติดตามการแข่งขัน CTF เพราะพระเอก ก็เลยมีความรู้ที่เกี่ยวข้องกันนิดหน่อย เลยเหมือนคอยช่วยซัพพอร์ต ให้พระเอกฝ่าฟันอุปสรรคและชนะไปแข่งระดับโลกให้ได้

คือพล็อตนี้เหมือนจะไม่มีอะไรมาก แต่มันดูสนุก ดูเพลิน ติดจนต้องดูต่อจนจบ เพราะระหว่างทางก็จะมีทั้งเรื่องครอบครัวพระเอกจะคลุมถุงชนนางเอกกับลูกพี่ลูกน้องนางเอก แต่กลายเป็นนางเอกมาเป็นแฟนปลอมๆ พระเอกเฉย
งานกินเลี้ยงจับคู่ของสองครอบครัว
หรือคู่ต่อสู้เบอร์ต้นของ K&K ก็คือทีม SP ซึ่งคนในทีม SP นั้นก็คือเพื่อนเก่าแก่ของพระเอก เป็นแก๊งที่แข่ง CTF ด้วยกันตั้งแต่ยังไม่บูมในจีน แก๊งนี้ก็โด่งดังกันทุกคน จนกระทั่งแตกคอ และพระเอกแยกมาตั้ง K&K  แล้วต้องมาเผชิญหน้ากัน ต่อสู่กันเพื่อแย่งชิงที่หนึ่ง

หรือแม้แต่ปัญหาบ้านนางเอกไม่ยอมรับพระเอกที่อายุ 30 แล้วเหมือนไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน เล่นคอม แข่งเกม แล้วแถมยังอายุห่างกับนางเอกเป็น 10 ปี

ซีรี่ส์เรื่องนี้เลยเป็นส่วนผสมของความรัก มิตรภาพ ความฝัน การงาน หลายๆ อย่างด้วยกันได้อย่างดี ถือเป็นเรื่องที่ดูเพลินได้จนจบโดยไม่เบื่อสักตอนเดียว (แต่อาจจะต้องแอบอดทนช่วงแรกนิดนึง หากไม่เข้าใจ และอินเรื่องการแข่ง CTF เท่าไหร่)

หลายคนดูแล้วก็ไม่เข้าใจเรื่อง CTF คืออะไร กลัวดูแล้วงง บอกเลยว่า ดูเถอะ ไม่ต้องกลัว เรื่องนี้ไม่ใช่คอเกมโหดขนาดนั้น หากไปดู The King's Avatar (เทพยุทธเซียนกลอรี่) เป็นเรื่องเกมที่โหดกว่าเรื่องนี้มาก ศัพท์มาเต็ม ซึ่งเราเองไม่ใช่สายเกมเลย ไม่ข้องแวะ E-Sport สักนิดเดียว แค่รับรู้ แต่พอดูแล้วชอบเรื่องนี้ก็เลยอยากรู้ ไปค้นข้อมูลมาอีกนิด

CTF มาจาก Capture the Flag จริงๆ ไม่เข้าข่ายเป็น E-sport เท่าไหร่ เป็นการแข่งเขียนโค้ดเจาะระบบ โดยส่วนใหญ่จะแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายนึงเจาะระบบ ฝ่ายนึงป้องกันระบบไม่ให้คนเจาะเข้ามาได้สำเร็จ ใครทำสำเร็จก็ชนะไป หรือ บางครั้งก็เป็นการแก้ปัญหาคำตอบไปเรื่อยๆ พอแก้ได้ก็จะข้อมูล (flag) เป็นรางวัล จะแข่งแบบทีมก็ได้ หรือ 1 ต่อ 1 ก็ได้ ซึ่งการแข่งไม่ได้มีแบบรูปภาพสวยงาม แข่งบอส ตีป้อมอะไรเลย เป็นการเขียน Coding คำสั่งล้วนๆ เหมือนบางเสียงก็บอกว่า CTF ไม่ใช่ E-Sport แต่เป็นการแข่งด้าน Cybersecurity แต่คือพอคนภายนอกมองก็จะบอกแบบเหมารวมๆ พวกเล่นเกม ใช้คอมแข่งๆ ว่า E-sport ซึ่งจริงๆ มันก็คงมีดีเทลมากกว่านั้นแหละ แต่เราก็ไม่ได้ศึกษาลึกขนาดนั้น

โดย CTF นี่ยิ่งใหญ่ขนาดมี Conference หรืองานประชุม งานรวมตัวกันเพื่ออัพเดทข้อมูล และ CTF ยังเป็นเหมือนการเช็คความปลอดภัยของระบบ บางครั้ง มี IT Expert หลายๆ มาเล่น CTF เพื่อเป็นการฝึกการเจาะระบบ ดูความปลอดภัย แล้วยังวัดผลออกมาเป็นคะแนนได้ เพื่อดูว่าฝีมือเราอยู่ระดับไหน เรียกว่าไม่ใช่เล่น CTF แค่เอาเพลิน เอามันส์กันอย่างเดียว ส่วนใหญ่การฝึกจากที่ดูก็คือ ความไวนิ้วในการพิมพ์โค้ด ความรอบคอบ การพยายามเขียนระบบขึ้นมาที่ป้องกันได้ดีดี ทำนองนี้

อย่างใน Wei Wei's Beautiful Smile (Love O2O) มีช่วงนึงที่พระเอกบอกจะแข่ง CTF ตัวต่อต่อกับ KO คนที่ทำงานร้านอาหาร เพื่อเป็นการวัดฝีมือกัน ก่อนที่ KO จะเข้ามาทำงานบริษัทพระเอก
แก๊งเพื่อนเก่า สมัยที่พระเอกลงแข่งขัน และได้รับชัยชนะ
เราไม่รู้ว่าที่จีนวงการ E-Sport นั้นจริงจังระดับไหน แต่คิดว่าน่าจะมากระดับนึงเลยแหละมั้ง เพราะพักหลังมาซีรี่ส์เกี่ยวกับ E-Sport ทางฝั่งจีนเยอะมาก หรือแม้แต่เกี่ยวกับตัวละครในเกมเจอกัน รักกัน ตั้งแต่ยุค Wei Wei แล้วหลังจากนั้นก็มีแนวเกมเต็มไปหมด ทำให้เราชอบจีนอย่างนึงคือมันมีอะไรใหม่ๆ เข้ามาในวงการซีรี่ส์เสมอ (แต่ถ้าเทียบเกาหลี เราว่าเกาหลีพยายามเปิดแนวทางอะไรใหม่เยอะกว่านิดนึง) เหมือนแบบคุณไม่ต้องนำเสนอเยอะหรอก แต่แค่พอให้คนสนใจ แล้วเดี๋ยวคนก็เข้ามาหาเอง เหมือนตอน Wei Wei เรามีความรู้สึกว่าเอ๊ะ เกมแบบนี้ก็น่าสนใจดี แล้วการทำซีรี่ส์เกี่ยวกับเกมของจีนคือไม่ใช่แตะแล้วทิ้งๆ ขว้างๆ มัวแต่พระนางจีบกัน ทิ้งความเป็นเกมไป Go Go Squid ยังมีความดึง CTF มามีเนื้อหาเกี่ยวข้องตลอดทั้งเรื่อง เรียกว่าแทบจะ 50% ของเนื้อเรื่องคือ CTF งานของพระเอก

แต่ถึงแม้ว่าตัวเองเป็นเรื่องเกม CTF อย่างโจ่งแจ้ง แต่ไม่ได้ดูยากขนาดนั้น เพราะเทน้ำหนักของงานพระเอก ไปที่ความสัมพันธ์ในทีม การฝึกซ้อม ความฝันที่จะพาจีน ไปแชมป์โลก ไม่ได้ดูน่าเบื่อ มานั่งเขียนโค้ดแข่งกันมากเท่าไหร่ และอีก 50% ถูกเทไปที่ความกุ๊กกิ๊กพระนาง ทำให้ขาจิ้นฟินกันเป็นแถบ ด้วยคาแรคเตอร์ตัวละครแบบ ผู้ชายเย็นชา แต่ทำดีทุกอย่างให้นางเอก นางเอกก็สายแบ๊ว เรียกว่าตัวละครแบบนี้กี่ปีก็ขายได้ แต่ความดีของพระนางคู่นี้ คือมันไม่เกินไปจนคนเกลียด

อย่างการที่นางเอกที่ติดหนึบพระเอกเป็นตังเม แต่เมื่อเข้ามาในโลกของพระเอก คือเข้ากันได้ดีกับตัวละครลูกน้องพระเอกในเรื่อง ด้วยการนางเอกเขียนโปรแกรมมาให้ทีมพระเอกใช้ฝึกความเร็ว หรือการที่นางเอกคุยเก่ง ร่าเริง แต่พระเอกคุยไม่เก่ง แล้วเรียกลูกน้องในทีมมาคุยเป็นเพื่อนนางเอกแทน แล้วตัวเองก็นั่งฟัง เป็นซีนอะไรที่เล็กๆ น้อยๆ แต่มันดูน่ารักมาก

หรือด้วยพลังของนางเอกที่เล่นโดย หยางจื่อ เลยรู้สึกว่าซีนง้องแง้งพระเอก คือไม่น่ารำคาญเลย บางซีนดูเหมือนจะเล่นใหญ่ รีแอคชั่นเป็นการ์ตูนเลย ด้วยความที่วางตัวเองเป็นหนังวัยรุ่น กุ๊กกิ๊กด้วยแหละมั้ง ผกก.เลยให้นางเอกแสดงออกมาแนวนี้ แต่หยางจื่อทำให้การแสดงมันยังไม่ถึงโหมดน่ารำคาญ

และด้วยความเคมีสาธารณะของหยางจื่ออีกเช่นเคย ที่มันส่งให้พระเอก หลี่เซี่ยน ดูเล่นแล้วน่ารักตามไปด้วย แม้ว่าหลายคนบ่นเรื่องการแสดงพระเอกแข็ง บทพูดแข็ง แต่พอรับส่งกับนางเอกแล้วมันก็ถูไถ จนมองข้ามผ่านๆ เพลินๆ ได้อยู่

และความเคมีอีกของอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ ทีม K&K ของพระเอก แรกๆ เราก็ผ่านๆ แต่ยิ่งดูยิ่งรู้สึกว่าน่าสนใจ คือทุกตัวละครมีซีนของตัวเองนิดหน่อย แม้จะดูคาแรคเตอร์คล้ายๆ กันนิดนึงในบางคน แต่รวมๆ แล้วเป็นกลุ่มตัวละครที่น่ารัก ดูแล้วน่าเอาใจช่วย เวลาเข้าซีนกับพระเอกก็มีความลงล็อค

รวมถึงกลุ่มเพื่อนพระเอกกลุ่มแรก ที่ต้องแยกกัน แต่ก็กลับมาเจอกันบ่อยครั้ง กว่าจะประสานรอยร้าวกันสำเร็จ ก็มีคาแรคเตอร์ที่น่าเอาใจช่วยทุกตัว เรียกว่าเกลียดใครไม่ลง คือต่อให้ทีมไหนชนะในตอนจบ รู้สึกได้ว่าเราก็จะไม่หมั่นไส้ หรือเกลียดใครเลย


สิ่งหนึ่งที่เราแอบชอบซีรี่ส์จีน หลังดูมาหลายเรื่อง คือ จะชอบมีวันสำคัญ แบบวันหยุดปีใหม่ แล้วมักจะมีปัญหา เช่น พระนางต้องแยกกันกลับบ้าน อดเจอกัน หรือมักมีปัญหาแบบออฟฟิศปิด หอปิดไม่มีที่อยู่เพราะกลับบ้านไม่ได้ ต้องไปอยู่บ้านคนใดคนนึง เราว่ามันเป็นกิมมิคเล็กๆ แล้วก็มักตามมาด้วยปัญหาใหญ่ๆ ที่น่ารักกึ่งวุ่นวายดี แล้วเหมือนมันมีการ Take Time ของเวลาว่าเรื่องราวมันผ่านไปแค่ไหน บางเรื่องมีบังเอิญดูพลุปีใหม่ด้วยกัน แล้วสักพัก อ๋อ มาดูพลุปีใหม่อีกรอบแล้ว หรือแม้แต่ฤดูกาล ที่แบบหน้าหนาว พระนางเฝ้ารอช่วงฤดูใบไม้ผลิ ไปดูดอกไม้ด้วยกัน เราก็เข้าใจได้เลยว่า อ๋อ 2-3 เดือนแหละ มันเลยกลายเป็นโมเมนต์ของเวลาขับเคลื่อนเรื่องราวนิดๆ เราค่อนข้างชอบเวลาดูแล้วเจออะไรแบบนี้ มันดูมีดีเทลดี ซึ่งส่วนใหญ่ละครไทยหลายเรื่องเวลามันค่อนข้างหายไป มันมีแต่แบบตื่นเช้าเจอกัน มีปัญหา นอน หายไปอีกวันละ เหมือนเล่นไปเรื่อยๆ ใส่ซีนนู่นนี่นั่นไปเรื่อย

อีกสิ่งที่ชอบคือเรื่องนี้ไม่ต้องมีตัวละครร้ายแบบแว้ดๆ เลย คือเข้าใจว่าบางเรื่องมันต้องมีตัวร้ายๆ เพื่อให้เรื่องเดิน เพื่อให้ถึงไคลแมกซ์
ชอบที่เรื่องนี้เหมือนเป็นส่วนประกอบของโมเมนต์น่ารักๆ รวมกันทั้งเพื่อน แฟน พี่น้อง มารวมเป็นเรื่องราวที่น่ารักให้ดูได้เพลินๆ 
อุปสรรคมันไม่ได้ดูใหญ่โต Climax ของเรื่องก็ไม่ได้พีคขนาดโอ้โหบรรลุ แต่มันก็มีฟีลเติมพลัง เติมรอยยิ้มซะมากกว่า

นอกเหนือจากการแสดง ซีนน่ารักๆ (ซึ่งจะเลือกซีนโปรดออกมาคือยากมาก เลยไม่เลือกละกัน ชอบทุกซีน)  เรื่องนี้ยังมี Production ที่ดีพอสมควรเลย ปกติ Production จีนก็จะมีทั้งแบบกลางๆ แย่ๆ ดูเป็นละครไทยหน่อย มุมกล้องการเกรดสีละครจีนก็คือค่อนข้างสุ่มเรื่อง แล้วแต่เรื่องว่าอันไหนจะดีไม่ดี แต่เรื่องนี้มีความเลิศอยู่ระดับหนึ่ง มุมกล้อง แสงสี ดูมีความทันสมัย ดูเป็นหนังกุ๊กกิ๊กวัยรุ่นหน่อย สถานที่ในเรื่องวนเวียนไม่มาก หอนางเอก บ้านนางเอก บ้านพระเอก ออฟฟิศพระเอก ซึ่งเราชอบออฟฟิศนะ แม้มันอาจจะมีความลูกเล่นค่อนข้างเว่อร์ ดูอาจจะเกินความเป็นจริง แต่ก็ดูมีสไตล์ ดูผ่านการจัดวาง บทจะรกก็รกแบบมีระดับ มีคนใช้งานอ่ะ บางเรื่องมันจะดูปลอมๆ ไปหน่อย สะอาดแบบเซ็ตหลอกๆ จนดูหลอก ก็จะไม่ค่อยไม่สมจริง
บรรยากาศสโมสร ออฟฟิศพระเอก
ถ้าจะขัดในเรื่องก็คงเป็นความสมจริงในแง่ชีวิตส่วนตัวตัวละคร ซึ่งละครจีนมีความไม่สมจริงอะไรยังงี้เยอะ จนแบบ เอ้อ มองข้ามไปบ้างก็ได้ถ้าเรื่องมันสนุกอ่ะนะ แบบนางเอกมักจะอัจฉริยะเกินเหตุ โดยที่แบบไม่เล่าที่มาที่ไปเท่าไหร่ แบบรู้แค่เก่งพอ จบ แก้ปัญหาให้พระเอกได้ หรือนางเอกดูชนชั้นกลาง ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเงิน แบบมองข้ามมิติของฐานะ หรืออะไรไปเลย พระเอกดูทำตัวจน มีปัญหาเรื่องเงิน ต้องยืมเงินน้องตลอด แต่ว่าซื้อของเหมือนมีเงินเอย อะไรเอย การเงินบริษัทไม่เคยมีปัญหานะ คือก็บริหารบริษัทได้ปกติ เหมือนมุกยืมเงินยากจน มีมาขำขำให้คนดูตลก กวนตีนไปเฉยๆ ซึ่งมันก็เอ๊ะๆ อยู่แหละ แต่เรื่องก็พาเราโฟกัสไปที่คววามน่ารักของพระนางมากกว่า แบบไม่ต้องสนนะ สนทำไม ไม่ใช่ปัญหา

ปิดท้ายด้วย 4 เพลงประกอบที่เราชอบจากซีรี่ส์เรื่องนี้ ถ้าจำไม่ผิดในอัลบั้มเพลงประกอบมี 8 เพลงมั้ง มีทั้งเพลงที่หยางจื่อ นางเอกร้อง และเพลงที่หลี่เซี่ยน พระเอกของเราร้องเอง แต่เพลงที่เราฟังแล้วชอบ ติดใจฟังวนมีอยู่ 4 เพลง เพราะรู้สึกว่าเป็นเพลงที่ฟังแล้วมีทั้งฟีลฮึกเหิม ดูเหมาะกับเรื่องเกมๆ หน่อย กับเพลงของหยางจื่อ ที่เป็นเพลงปิดละครด้วย ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงที่สดใสมากๆ เข้ากับตัวนางเอกในเรื่อง และหนึ่งในนั้นมีเพลง Glory ของ Lara ซึ่งเราชอบมาก ด้วยความที่ชอบ Lara ร้องเพลง Come a Little Closer ตั้งแต่สมัย It Start With A Kiss แล้ว รู้สึกชอบเสียงร้องแบบนี้ เพลง Glory ก็เลยเข้าลิสต์มาแบบพิเศษหน่อย และเพลงสุดท้ายในลิสต์เป็นเพลงช้า


เอาเป็นว่า Go Go Squid เป็นอีกเรื่องที่เรายกให้เป็นซีรี่ส์ในดวงใจของปี 2019 (แม้เราจะดูในปี 2020 ก็เถอะ) ด้วยความสนุกของแต่ละซีน มันดูแล้วน่ารักไปหมด เนื้อเรื่องไม่เน้นพระเอกนางเอกเกินไปจนเลี่ยน เนื้อหาแชร์กับเรื่องเพื่อน เรื่องความฝันกำลังดี แต่อย่าคาดหวังความเป็นเกมเยอะนะ ตรงๆ ก็คือซีรี่ส์ค่อนข้างขายผู้หญิงแหละ ...ลองไปดูได้ทั้งทาง Netflix และ WeTV คิดว่าส่วนใหญ่ไม่น่าจะผิดหวัง และน่าจะติดอันดับหนึ่งในดวงใจในหมวดซีรี่ส์โลกเกมได้ไม่ยาก

หวังว่าจะออกจากวงโคจรนี้ในเร็ววัน ติดหนึบจนดูซ้ำแล้วจ้า
ไจ้ เจี้ยน ,  

No comments:

Post a Comment