Wander Westcoast 2.0 : Seattle แบบวันเดียวจบ รวมสถานที่ต้องไปเยือน - KJ's E V E R Y T H I N G

KJ's   E V E R Y T H I N G

A place where I collect the pieces of my memory.

Latest

Home Top Ad

Sunday, February 9, 2020

Wander Westcoast 2.0 : Seattle แบบวันเดียวจบ รวมสถานที่ต้องไปเยือน

หลังจากพาไปเยี่ยมชม Portland มาแล้ว แน่นอนว่าปกติตามรูททั่วก็ต้องขึ้นเหนือกันต่อ มาที่ Seattle เราใช้บริการ Bus จำเจ้าไม่ได้แล้ว นั่งไม่กี่ชม. มีรถติดนิดหน่อยมาจาก Portland ระหว่างทางมีผ่านเมืองนึง เขียนว่าถ่ายทำ Twilight ที่นี่ คือกะทำเป็นจุดขายให้แวะท่องเที่ยวเลย ซึ่งก็เหมาะกับรัฐ Oregon, Washington คือเป็นฟีลอากาศหนาว ป่าสนจะดูครึ้มๆ ไม่มีแดดหน่อย ฟีล Twilight มากๆ

เรามาถึงก็เย็นๆ แล้ว ใช้บริการ Lyft นั่งรถเข้าที่พัก Airbnb เลย เพราะที่พักอยู่นอกเมืองเลย ย่านชุมชน เจอเจ้าของบ้านใจดี บอกจะพาไปส่งแถวร้านอาหารได้ ก็ไปดร็อปพวกเรา พร้อมแนะนำร้านพิซซ่าถาดใหญ่สไตล์อเมริกัน ใหญ่จนจะกินไม่หมด แต่ก็หมดนะ ขากลับก็เดินงงๆ วังเวงกลับกันนิดนึง เพราะไม่มีใครเดินแถวนั้น เปลี่ยวกันอีกแล้ว 555

มีเวลาเที่ยว Seattle แบบเต็มวัน 1 วันถ้วนเท่านั้น เลยต้องใช้ให้คุ้มค่า ใครอยากเก็บแบบเร็วๆ ก็ตามรอยได้เลย ครบสถานที่ must go แน่นอน แต่ว่าอันนี้ตั้งแต่ปี 2014 แล้ว อาจจะอัพเดทสถานที่ใหม่เพิ่มสักหน่อยนะ ฮา... เริ่มจากเช้าตรู่ รีบไปรอรถเมล์ที่หน้าบ้านเลยเพื่อนั่งเข้าเมือง เราเลือกไปที่แรกที่จะเปิดเช้า คือ มหาวิทยาลัย

University of Washington

ทำตัวเหมือนมาหาที่เรียนต่อมากกกกก แต่เปล่า มาเดินดูตึก ดูห้องสมุดสวยๆ ชอบเดินมหาวิทยาลัยมาก บรรยากาศดีสุดๆ ก็มีตึกสวยๆ หลายจุด แต่ที่เขาเคลมคือ ห้องสมุด Hogwarts คือไม่ใช่ที่แฮร์รี่มาถ่ายหรอก แต่เขาเคลมว่าอินสไปเรชั่น บรรยากาศ ฟีลเดียวกัน










แล้วตีเนียนเป็นเด็กมหาวิทยาลัย ไปนั่งทานอาหารเช้าที่โรงอาหารสักเล็กน้อย ก่อนเดินทางไปเที่ยวต่อ รอบนี้ซื้อ 1 Day Pass ราคา 5 เหรียญ สำหรับนั่งพวกรถ Rail ที่มีรางได้หมด รถไฟ streetcar ไม่รวมรถบัส 





Seattle Public Library

นอกจากตึกข้างนอกจะสวยแล้ว ข้างในเรียกว่าประทับใจมาก เป็นห้องสมุดที่ใหญ่ มีครบทุกฟังก์ชั่นมาก ห้องประชุม ยันห้องนิทรรศการ มีหนังสือหลายประเภท รวมถึงมีพวกคอมให้ใช้งาน ไม่แน่ใจว่าเป็น Intranet แบบใช้งานหาข้อมูลในระบบแบบออนไลน์รึเปล่า รวมถึงมีหนังให้หยิบไปดู แม็กกาซีนก็น่าจะมีทุกหัวเลย ชอบจริงๆ





ด้วยความชิลล์จากห้องสมุด เราเลยเลือกเดินเล่นไปเรื่อย ดูวิวบ้านเมืองไปยังสถานที่ต่อไป แต่แอบรู้สึกคิดผิดนิดนึง เพราะเมืองนี้ถนนชันมากกกกกกกกกกกกก ไม่ทางลาดชันจนเดินปวดเข่า เขาก็ทำเป็นบันได คือเดินเมื่อยสุด หากขับรถเองก็คงเสียวๆ รถไหล 

เดิมเมืองนี้ต่ำปกติ แต่ถ้าจำไม่ผิดเกิดน้ำท่วมหรืออะไรสักอย่าง เขาเลยถมทับเมืองเก่า แล้วสร้างเมืองใหม่ทับไป เลยกลายเป็นเนินชันทั้งเมือง ความพิเศษคือ ยังมีเมืองเหลืออยู่ใต้ดิน ก็เลยมีคนทำทัวร์เมืองโบราณ ฟีลหนังสยองขวัญใต้ดินด้วย แถมเดินพาชมตอนกลางคืนก็มี






Waterfront Pier 

เห็นขึ้นเป็นจุดชมวิว มีชิงช้าสวรรค์ เลยลองมาแวะดูหน่อย ก็มีทั้งร้านอาหาร เป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจ มี Aquarium เราเลือกลองขึ้นชิงช้าสวรรค์ชมวิวเมืองสักหน่อย ก็แอบร้อนอบๆ อยู่สักนิด เพราะขึ้นตอนกลางวันเลย แต่ก็มีคนมาขึ้นเยอะนะ





Pike Place Market

ที่นี่มีทั้งส่วน Farmer's Market ตลาดสด ขายอาหารทะเล ดอกไม้สด และส่วนของ Pike Place Market จะเป็นตึก ข้างในจะดู Vintage นิดนึง มีขายของเก่า ของสะสม และมีร้านอาหาร





Starbucks สาขาแรก คนเลยเยอะเป็นพิเศษ

ข้ามสะพานลอยมาจากตลาดสด
เป็นโรงพิมพ์ที่ดังอยู่ แบบมีพวกแท่นพิมพ์ งาน Craft


ร้านขายแผ่นเสียงใน Pike Place Market 
ร้านของสะสมเยอะมาก มีทั้งแบบเหรียญ การ์ดนักบาส นักเบสบอล ฟีลพวกสะสมพระเลย

Space Needle

ไหนๆ มาแล้วก็ต้องไป Landmark สำคัญสักหน่อย เพราะเห็นในซีรี่ส์ Gray's Anatomy บ่อยมาก เป็นสัญลักษณ์ของเมืองเลย เลยต้องแวะมาหน่อย เราต้องไปนั่งรถรางไฟฟ้า เข้าไปก็จะมีส่วนที่ขึ้นหอด้านบน กับส่วนที่พักผ่อนหย่อนใจรอบๆ ทั้งสนามเด็กเล่น, Pop Museum, สวนเป่าแก้ว เราเลือกเดินเล่นรอบๆ แล้วก็ขึ้นข้างบนตอนเวลาใกล้พระอาทิตย์ตกพอดี ก็จะได้วิวทั้ง 2 แบบ แต่ว่าตอนกลางคืน Seattle ไม่ใช่เมืองเปิดไฟ สว่างไสว สวยงามเท่าไหร่









พอลงมาก็มึดแล้ว กว่าจะช้อปปิ้งของที่ระลึกกันอีก ขากลับออกมาเจอว่ามีนิทรรศการเลโก้อยู่ แต่เข้าไม่ทันแล้ว ก็แอบเสียดายนิดนึง แพลนว่าไหนๆ ก็ยังไหวอยู่ เลยนั่งรถไปต่อกันที่ Olympic Sculture Park สรุปว่า...ปิดจ้า ก็แห้วกันไป



เลยหาของกิน แล้วตัดสินใจกลับบ้านไปเก็บกระเป๋าดีกว่า แต่เรื่องเจ้ากรรมก็เกิดจนได้ เมื่อหาสายรถบัสเรียบร้อย ถ้าจำไม่ผิด สาย 100 แต่มันมี 100R มาพอดี ก่อนเวลาที่บอกในกูเกิ้ลแมพจะมาจริง 2 นาที เราก็ เอ๊ะ น่าจะเหมือนกัน ขึ้นไปเลย สรุปขึ้นไปก็ดูแมพไปตลอด มันเลี้ยวคนละแยก รถไปไหนนนนนน เวลานั้นคือ 4 ทุ่ม กลัวรถหมดมาก แล้วไวไฟจู่ๆ พังไปอีกกกกก ต่อเน็ตไม่ได้ โชคดีคนบนรถเห็นเราสองคนงกเงิ่น เลยบอกว่าให้นั่งไปสุดสถานี อีกนิดเดียว แล้วรอรถนั่งกลับมาได้ เพราะตรงนั้นรวมรถทุกสาย พอลงที่สถานี ณ จุดนั้นคือเช็คว่ายังไงดีวะ ดูป้ายรถ อ่ะ มีสาย 100 มีบอกเวลา อ่ะเลยยืนรอ ไม่กล้าไปไหนเลย กลัวรถมาแล้วตกรถ ฮือออ ติดต่อ เสิร์จอะไรไม่ได้ด้วย กลัวมาก แต่แพลนละ ถ้าต้องเดินกลับจะทำยังไง เดินกี่นาทีถึง รอเกือบ 15 นาทีมั้ง รถมา ก็สุ่มๆ ดูหน้าตาคุ้นก็ลงป้ายนั้น โชคดีบ้านใกล้ป้ายรถเลยพอจำได้ ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ เรียกว่าช็อค ระทึกกลัวกลับบ้านไม่ได้เลย 


เป็นข้อคิดว่า อย่าพึ่งอินเตอร์เนตมาก ให้จดรายละเอียดเผื่อมันล่มด้วย แล้วถ้าจะขึ้นบัส รอให้มันตรงเวลาเว้ยยยยยยยยยยย



#KJonTour

No comments:

Post a Comment